ลองใส่ SQL Statement แบบนี้ลงไปครับ

TRANSFORM First(Table1.DateTime) AS FirstOfDateTime
SELECT Table1.Code, CDate(Format([DateTime],"d mmm yy")) AS [Working Date]
FROM Table1
GROUP BY Table1.Code, CDate(Format([DateTime],"d mmm yy"))
ORDER BY Table1.Code, CDate(Format([DateTime],"d mmm yy"))
PIVOT Table1.Status;

จะได้
Code Working Date I O
01133060 1/3/2546 1/3/2546 7:54:59 1/3/2546 17:06:04
01133060 3/3/2546 3/3/2546 7:52:13 3/3/2546 17:05:21
01133060 4/3/2546 4/3/2546 7:48:44
01133060 5/3/2546 5/3/2546 7:49:54 5/3/2546 17:06:34
01133060 6/3/2546 6/3/2546 7:49:15
01133060 7/3/2546 7/3/2546 7:47:17 7/3/2546 17:02:29
01133060 8/3/2546 8/3/2546 7:50:25 8/3/2546 17:02:56
...

ขอบคุณอาจารย์ มากๆเลยค่ะ
ถามต่ออีกนิดนะคะ คือว่า ถ้าต้องการให้เช็คเวลาว่าสายกี่นาที ออกก่อนกี่นาที
ต้องใส่ code ยังไงค่ะ
คือถ้าเวลาเข้าหลัง 8.00 am ให้คำนวณว่าสาย กี่นาที
และก็ถ้าออกก่อน 5.00 pm ให้คำนวณว่ากี่นาทีน่ะค่ะ คือว่าต้องสรุปเป็นเดือนๆ
ว่าคนๆนี้มาทำงานสายกี่นาทีน่ะค่ะ
รบกวนหน่อยนะคะ

คงต้องใช้ DateDiff() เข้าช่วยครับ

ผมได้เขียนฟังก์ชันขึ้นมาตัวหนึ่งเพื่อใช้ในการหาผลต่างของเวลา

แล้วให้ดูตัวอย่างใน Query1 และ 2 ดูครับ

ยังงัยก็ประยุกต์ใช้จากตรงนี้ต่อไปได้เลย

ขอบคุณมากค่ะ ใช้ได้แล้วค่ะ

ถามต่อนิดนะคะ แล้วถ้าแต่ละคนเข้าทำงานในเวลาไม่พร้อมกันล่ะคะ มีการ
ทำงานเป็นกะ คือเรากำหนดข้อมูลใน table2 ว่าเค้าต้องเข้ากี่โมง ออกกี่โมง ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะแก้ source code ยังไงคะ ให้มันไปหักลบกับเวลาที่เรา
กำหนดให้เข้า ให้ออก น่ะค่ะ

คงต้องถามต่อว่า แต่ละคนจะมีการ fixed เวลาทำงานตลอดหรือไม่

หรือมีการเปลี่ยนไปแต่ละเดือนไม่เหมือนกัน แต่ดูจากตัวอย่างในตารางที่ 2 จะเหมือนกันหมด ซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์ที่จะดึงเวลาเข้าออกจากตารางที่เลย

ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องมีอีกฟีลด์หนึ่งเป็นตัวกำหนดในตารางที่ 2 ว่าเป็นของช่วงเดือนไหนด้วย จึงจะทำให้การดึงข้อมูลเวลาเข้าออกได้ถูกต้องครับ

คือแต่ละคนมีเวลาเข้าออกไม่เหมือนกันค่ะ เช่น พนักงานรายเดือนทั้งหมด 200 คน
ทำ 8.00-17.00 ประมาณ120 คนและก็คงที่อยู่อย่างนั้นไปตลอด ส่วนที่เหลือจะเป็นพนักงานเข้ากะ และจะวนกะกันในแต่ละเดือนค่ะ เช่น เดือนนี้ทำงาน 8.00-17.00 เดือนหน้าอาจจะเป็น 17.00-03.00 ก้อได้ค่ะ

ฉะนั้นในตารางที่ 2 จะต้องมีการระบุด้วยว่าเป็นของเดือนไหนด้วยนะครับ
เพราะการคำนวณอาจจะต้องย้อนไปดูของเดือนที่แล้ว

หรือว่าจะไม่เก็บเวลาเข้าออกของเดือนที่ผ่านมา แต่เก็บเป็นเดือนๆ ไปครับ

ถ้าเป็นเช่นนี้ ลองเปลี่ยน SQL ของ Query1 ให้เป็น

SELECT Table1.Code, Table1.DateTime, IIf([status]="I",CalLate([table1].[datetime],[table2].[timein],[status]),CalLate([table1].[datetime],[table2].[timeout],[status])) AS LateIn
FROM table2 INNER JOIN Table1 ON table2.Code = Table1.Code;

และเปลี่ยนโค้ดของฟังก์ชัน CalDate() ให้เป็น

Function CalLate(dte As Date, TimeInOut As Date, strType As String) As Integer
Dim MyDate As Date
MyDate = DateSerial(Year(dte), Month(dte), Day(dte))
MyDate = MyDate + TimeInOut
If strType = "I" Then
CalLate = DateDiff("n", dte, MyDate)
Else
CalLate = DateDiff("n", MyDate, dte)
End If
End Function

ลองดูครับ

ลองดูแล้วค่ะ แต่ว่าทำไม พอกำหนดตรง lateIn ให้มัน <0 (จะได้ sum เวลาที่มา
สาย) มันขึ้นว่า Data type mismatch in criteria expression คะ แล้วพอ
กด ok ก็ขึ้น #Name? เต็มไปหมดทุก field เลยคะ

เพราะว่า คนที่รหัส 04146001 ไม่มีเวลาเข้าออก ในตารางที่ 2 ครับ

ซึ่งไม่ควรจะเกิด ให้เติมเข้าไปปัญหาน่าจะหาครับ

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

คุณ nuch หรือ อาจารย์สุภาพ ยังไงช่วยส่งไฟล์เช็กเวลาเข้าออก มาให้ผมในรูปแบบ access 97 ได้ไหมครับที่ L_S20@hotmail.com