การคิดราคาของผมจะขึ้นอยู่กับงานที่ทำครับ

1. ความซับซ้อนของงาน ถ้ามีความซับซ้อนมาก ก็จะราคาสูงตามไปครับ
แต่การดูตรงนี้ต้องอาศัยสิ่งประกอบหลายอย่างครับ เช่น ผู้ว่าจ้างมีความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน เช่นมีสามารถระบุความต้องการตั้งแต่ตาราง หน้าตาของฟอร์มหรือต้องการใช้ฟอร์มสำหรับทำอะไรบ้าง มีรายงานที่ต้องการเป็นรูปเป็นร่างให้พร้อม ก็จะทำให้วิเคราะห์ได้ง่าย เมื่อเทียบกับที่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์เองทั้งหมด ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์นี้เพิ่มเข้าไปด้วยครับ

2. งานที่รับมาเคยทำไว้บ้างหรือไม่ ถ้ามีก็จะก็จะราคาน้อยกว่าที่ยังไม่เคยทำครับ

3. ประเภทของลูกค้า จะบอกถึงความสามารถในการจ่ายเงิน ถ้าเราตีราคาสูงเกินไป ลูกค้าอาจสู้ไม่ไหว เป็นหน่วยงานราชการ หรือเอกชน ประวัติการจ่ายเงินของลูกค้า รวมถึงระยะเวลาในการจ่ายเงินด้วย

บางครั้งถ้าลูกค้ามีความจำกัดในเรื่องงบประมาณ เราก็ต้องปรับงานให้เข้ากับเงินได้ครับ

ถ้าเราต้องการเปิดตลาดกับหน่วยงานไหน เราก็อาจคิดราคาที่จูงใจให้ลูกค้าได้

หรือถ้าเป็นบริษัทต่างชาติ ราคาก็จะต่างกันไปด้วยคับ

4. ความสนใจของเราเองต่องานชิ้นนั้นๆ
ถ้าเป็นงานที่เราเองอยากทำมานาน และต้องการศึกษาเพื่อเปิดงานประเภทนี้ และต้องการเรียนรู้จากลูกค้าเราด้วย เราก็จะคิดราคาที่ถูกลงครับ

5. ความต้องการด้านการเงินของเราขณะนั้น ทำให้เราต้องรับงานเพื่อไม่ให้งานขาด บางครั้ง แต่ก็ต้องให้คุ้มกับเวลาของเราด้วยครับ

6. ภาระผูกพันธ์ต่องานนั้น เช่น ต้องดูแลโปรแกรมหลังการขายด้วยหรือไม่ ต้องให้โค้ดเขาไปหรือไม่ ราคาก็ต่างกันไปครับ

ตรงนี้จะต่างกับการรับประกันงานที่ได้รับมอบหมายนะครับ ถ้ามีบักอันเนื่องมาจากโปรแกรมของเรา เราก็ต้องพร้อมที่จะแก้ไขให้เขาทันที ซึ่งจะต่างกับการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ

เท่าที่ผมนึกได้ตอนนี้ ก็มีแค่นี้ก่อนครับ ลองฟังท่านอื่นๆ ดูด้วยครับ

หลักทั่วไปเหมือนอาจารย์สุภาพ
แต่ถ้าจะให้ง่าย เวลารับงานคุณต้องประเมินว่าจะใช้เวลากี่วันทำงาน
แล้วคูณด้วยค่าตัวของคุณเอง บวกด้วยค่าบริการหลังติดตั้งในช่วงรับประกัน
ค่าตัวของคุณก็ควรขึ้นอยู่กับความสามารถทางการเงินของผู้จ้างด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ จะนำไปใช้เป็นแนวทางครับ