- ถ้าเป็น Source Code ของตัวเอง แล้วจะขาย ก็ทำได้แน่นอน ว่าแต่ว่าจะขาย Source Code แน่ใจจะทุบหม้อข้าวทิ้งแล้วหรือครับ ถ้าจะขายจริงควรระบุ License Agreement เอาไว้ให้ดีๆ ว่าคนเอาไปทำอะไรได้แค่ไหน ไม่เช่นนั้นคนอื่นเอาไปแล้วบอกว่าเป็นงานของเขาแล้วฟ้องกลับว่าเราเอางานเขามา จะเจ็บใจภายหลังครับ (แม้จะเป็นงานเล็กๆก็ตาม) แต่คำว่า Open Source กับการขาย มันฟังดูแปลกๆครับ

- ถ้า Open Source ของคนอื่น ก็ต้องอ่าน License Agreement ให้ดีๆเหมือนกันว่าเรามีสิทธิ์ทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน

- หรือจะทำเป็น Freeware หรือ Shareware ก็เป็นอีกทางเลือก แต่ไม่ขาย Source Code ครับ ให้เป็น .mde ไป แล้วถ้าใครใช้แล้วติดใจอยากเพิ่มอะไร ก็ค่อยคิดค่าทำตรงนั้น

- " บริการให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ กรณีนำไปประยุกต์เพิ่มเติมฟรี 3 เดือน " 3เดือนเชียวหรือ ?!? แบบนี้ผมว่าเข้าเนื้อแน่นอน ... ถ้าจะทำก็คุยคร่าวๆกันก่อนขายกับลูกค้าว่าต้องการอะไร แล้วประเมิณดูว่าจะทำ้หรือไม่ ทำได้หรือไม่ ถ้าได้ ก็บอกลูกค้าไปว่า เราจะต้องคิดค่าวิเคราะห์ระบบต่างๆเท่าไหร่ ค่าทำโปรแกรมเท่าไหร่ ค่าฯลฯ จ่ายเงินกี่งวด กี่บาท จ่ายเมื่องานเสร็จในขั้นไหนบ้าง ถ้าลูกค้าตกลง ก็ค่อยทำนะครับ

- Business Application ไม่เหมือน Software ประเภทอื่นๆที่คนใช้ใช้ตามที่เราทำ แต่ Business Application ที่ประสบความสำเร็จ เราต้องทำตามที่ลูกค้าอยากใช้ หรือส่วนใหญ่ใช้ มันยากเอาการอยู่ครับ

- แต่ดูระบบแล้ว จะเป็นระบบขายก็ไม่ใช่ ระบบสินค้าคงคลังก็ไม่เชิงครับ ไม่เต็มระบบอย่างใดอย่างหนึ่งครับ ราคาจึงบอกไม่ได้ว่าเท่าไหร่ดี ถ้ามีลูกค้าที่จะเอาไปใช้ได้ คงจะเป็นว่ามันพอดีกับจุดประสงค์ของลูกค้าคนนั้นพอดีจริงๆ ราคาถูกไปก็ไม่คุ้มที่เราทำ แพงไปลูกค้าซื้อเต็มระบบของยี่ห้ออื่นเลยดีกว่า

ขายก็ได้เงิน ให้ฟรีก็ได้บุญ แล้วแต่ท่านต้องการครับ :)

ผมเขียนมาหลายตัว 1/1000 คือโปรแกรมที่นั่งเขียน code เอง ส่วนใหญ่มาจากโปรแกรมหรือไฟล์คนอื่น เอามาเขียนให้ดูดีขึ้น ปรับแต่งใหม่ น่าใช้กว่าเดิม

ฟรีครับ ++++ www.access-training.org
ปล.รับเขียนโปรแกรมให้ฟรีด้วยบางครั้ง 555 ได้บุญ

เห็นด้วยกับ อ.สันติสุข และท่านอื่นๆ ครับ ในการเขียนโปรแกรมเพื่อขาย ต้องดู Requriment ของลูกค้าก่อนครับ ว่าต้องการอะไร ขอบข่ายของงานแค่ไหน ระบบที่ต้องลองรับมีอะไรบ้าง ต้องการใช้กี่ License (มักคิดราคาต่อ License)
ซึ่งส่วนมากมักจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ค่าพัฒนาระบบ จะแบ่งเป็นงวด (แล้วแต่กำหนด) เช่น งวดแรกตอนทำสัญญา ....% งวดที่ 2 ....% งวดที่ 3 ....% .... งวดสุดท้ายเมื่องานเสร็จตามกำหนดและสามารถใช้งานได้ตามต้องการและมีการส่งมอบงาน แล้วยังมีเงินประกันผลงานที่จะถูกผู้ว่าจ้างหักไว้อีกประมาณ 5% ของราคางาน ซึ่งจะได้คืนเมื่อเราทำตามสัญญา
2.ค่าดูแลระบบ จะค่าบริการเป็นรายปี หรือแล้วแต่ระยะเวลาตามที่ตกลงกันครับ ซึ่งมีทั้ง On site service หรือ Telephone service ครับ (ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของปัญหา)
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับลูกค้าว่าต้องการแบบไหน มีบางครั้งที่ลูกค้าอยากนำระบบไปพัฒนาต่อเองเราก็ขาย Source Code ให้ครับ แต่ราคาจะสูงกว่าค่าพัฒนามากๆๆๆ เพราะเราต้องบวกค่าเสียโอกาสด้วยครับ

ขอบคุณครับ

ผมยินดีซื้อ เพื่อใช้ศึกษาครับ ดีกว่าซื้อหนังสือไม่รู้กี่เล่มก็ยังไปไม่ได้ครับ
landsiam@hotmail.com

สมมติมีคนเขามาจ้างให้เราทำโปรแกรมเป็นครั้งเป็นคราว เนี่ยเราคิดค่าจ้างกันโปรแกรมละเท่าไหร่คะ ราคาค่าจ้างเขาพิจารนากันที่ส่วนใดบ้าง แล้วการสงวนลิขสิทธิ์ล่ะ สามารถทำได้ไหม การสงวนลิขสิทธิ์ต้องทำอย่างไร

ลองอ่านหนังสือชื่อ

"เรื่องพัฒนาซอฟท์แวร์มีแค่นี้"
แปลและเรียบเรียงโดย ดร.สมชายกิตติชัยกุลกิจ
สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. (สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี่ ไทย-ญี่ปุ่น)
จัดจำหน่ายโดย บ.ซีเอ็ดยูเคฃั่น จำกัด
ISBN 974-443-155-5
พิมพ์ครั้งที่ 2

หน้าปกเป็นรูปหมูใส่สูทนั่งโต๊ะผู้บริหารกำลังดูหน้าจอโน๊ตบุ๊ค

ดูในบทที่ 3 "ต้องเขียนโครงการและบริหารโครงการให้เป็นก่อน"

ส่วนเรื่องลิขสิทธิ์ คุณต้องจ้างนักกฏหมายที่ทำทางด้านนี้โดยเฉพาะให้เขาแนะนำแล้วครับ

ลองดาวน์โหลดตัวอย่างโปรแกรมที่ www.t-software.net ดู(ฟรี)